วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ที่มา,อ้างอิง

ที่มา,อ้างอิง

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%87

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87

ขอขอบคุญข้อมูลจาก
wikipedia และ panyathai นะขอรับ

ชนิดของแมง

ชนิดของแมง

แมงมีพิษ

แมงป่อง
         จากการจำแนกทางชีววิทยา แมงป่องเป็นสัตว์ที่จัดอยู่ในไฟลัม Arthropoda คลาส Scorpionida เป็นสัตว์พิษที่มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ยืนยันได้จากการค้นพบฟอสซิลของแมงป่องที่มีอายุถึง 440 ล้านปี เช่น Archaeobuthus estephani หรือ Protoischnurus axelrodorum เป็นต้น ปัจจุบันทั่วโลกมีแมงป่องประมาณ 1,200 ชนิด (species) อยู่กระจัดกระจายเกือบทั่วไป ไม่ว่าเป็นเขตทะเลทราย (desert) เขตร้อนชื้น (tropic) หรือแม้แต่แถบชายฝั่งทะเล ยกเว้นเพียงเขตขั้วโลกเหนือ (Arctic) และขั้วโลกใต้ (Antarctica) เท่านั้นที่ไม่พบแมงป่อง และพบชนิดที่มีพิษร้ายแรง 50 ชนิด บางชนิดมีพิษรุนแรงมาก เช่น แมงป่องในสกุล Centruroides ที่รัฐอริโซน่า สหรัฐอเมริกา พิษของมันสามารถทำให้เด็กและผู้สูงอายุที่ถูกต่อยเสียชีวิตได้ แมงป่องที่มีพิษรุนแรงสกุลอื่น พบในบราซิล เม็กซิโก และทะเลทรายซาฮาร่า
         ส่วนในประเทศไทย ที่พบบ่อยมากที่สุด คือ แมงป่องในอันดับ Scorpiones (หรือ Scorpionida) วงศ์ Scorpionidae สกุล Heterometrus ได้แก่ H. longimanus และ H. laoticus พบ H. laoticus มากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย แมงป่องในสกุลนี้เป็นแมงป่องที่มีขนาดใหญ่สกุลหนึ่งของโลก ทั้งสองชนิดมีสีดำสนิท ขนาด 9-12 เซนติเมตร น้ำหนักตัว 10-12 กรัม มีอายุราว 3-5 ปี และจำแนกจากกันได้ยาก จึงเรียกกันทั่วไปว่า Giant scorpion หรือ Asian forest scorpion หรือ Black scorpion หรือ "แมงป่องช้าง" ในภาษาไทย หรือ "แมงเงา" ในภาษาอีสาน นอกจากนี้ยังมีแมงป่องที่อยู่ในวงศ์ Buthidae สกุล Isometrus พบตามบ้านเรือน มักมีสีน้ำตาลอ่อน แล้วมีลายดำหรือน้ำตาลคาด จึงเรียกว่า Striped scorpion ขนาดไม่เกิน 5 เซนติเมตร เรียกทั่วไปว่า"แมงป่อง" หรือ"แมงงอด" ในภาษาอีสาน
         พฤติกรรมส่วนหนึ่งที่ทำให้แมงป่องดูลึกลับ ก็เพราะมันเป็นสัตว์ที่ไม่ชอบแสงสว่าง มักจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่มืดและชื้น เช่น ใต้ก้อนหิน ใต้กองไม้ ใต้ใบไม้ หรือขุดโพรงหรือรูอยู่ตามป่าละเมาะ และออกหากินในเวลากลางคืน จนบางคนตั้งสมญามันว่า "เพชฌฆาตยามราตรี"

แมงไม่มีพิษ

แมงมุม
         แมงมุมไม่ใช่แมลง แมงมุมมีลักษณะสำคัญอย่างหนึ่ง คือมี 8 ขา (แมลงมี 6 ขา) ในขณะที่แมลงมีลำตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน (เช่น ส่วนหัว, อก,และท้อง) แมลงมุมมีเพียงสองส่วนเท่านั้น ส่วนหน้าเรียกว่า cephalothorax และส่วนที่เป็นลำตัวประกอบไปด้วยส่วนหัวและส่วนอกเชื่อมติดต่อกัน ส่วนหลังเรียกว่าส่วนท้อง แมงมุมจะไม่มีปีก
         มีแมงมุมหลายชนิดที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 กลุ่ม โดยจำแนกตามวิธีการจับหาอาหารของเขา กลุ่มหนึ่งประกอบไปด้วยแมงมุมประเภทล่าที่จะมีการเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาอาหารของเขา แมลงมุมจะเคลื่อนที่ไปไกล ๆ และใช้เวลามากในการค้นหาอาหารสำหรับพวกเขา แมงมุมอีกกลุ่มหนึ่งจะสร้างตาข่ายเพื่อรอหาอาหารที่จะมาติดกับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมงมุมชนิดนี้มีความสำคัญกับแมลงมีปีกบิน เช่นตัวเต็มวัยของผีเสื้อกลางคืน
         แมงมุมทั้งสองชนิดคือพวกทำการล่าและพวกที่สร้างตาขายเป็นกับดักเป็นแมงมุมทั่ว ๆ ไปแต่สิ่งที่สำคัญคือเป็นตัวห้ำที่อยู่ใน แปลงพืชผัก และแปลงไม้ผลและมันอยู่ในแปลงนาข้าวอีกด้วย
         ความหนาแน่นของประชากรของแมงมุมขึ้นอยู่กับชนิดของแมลงที่เป็นอาหาร ถ้ามีจำนวนอาหารอยู่มาก แมงมุมเพศเมียจะวางไข่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อจำนวนแมลงศัตรูพืชมีจำนวนเพิ่มขึ้น จำนวนของแมงมุมก็จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน และยังมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย
         จำนวนไข่ของแมงมุมจะวางไข่ในจำนวนแตกต่างกันออกไปคือจาก 2-3 ฟองจนถึงจำนวนหลายร้อยฟอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของแมงมุม แมงมุมบางชนิดจะนำไข่ไปเก็บไว้ในถุงเล็ก ๆ จนกระทั่งมันฟักตัวจากไข่ออกมาเป็นตัวเล็ก ๆ (เช่นแมงมุมหมาป่า Lycosidae) เพื่อเป็นการ์ดดูแลไข่ที่วางอยู่ (ตัวอย่างเช่น Lynx spider)หรือทำการวางไข่ในรังตาข่าย หรือวางไข่ไว้บนใบไม้ และปิดไว้ด้วยใยไหมบาง ๆ แมงมุมอาจจะอาศัยอยู่นานถึง 4 เดือนทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของแมงมุม

ความหมายของแมงและแมลง

ความหมายของแมงและแมลง
         ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ท่านได้ให้บทนิยามคำว่า “แมง” ไว้ว่า “น. สัตว์ขนาดเล็กไม่มีกระดูกสันหลัง ส่วนมากมีลำตัวแบ่งออกเป็นตอน ๆ มีขา 6 ขา ขึ้นไปอยู่ที่ตอนอก มีสองหรือสี่ปีก หรือไม่มีปีกก็ได้ มีหลายชนิด เช่น แมงดา แมงสาบ ฯลฯ ใช้แผลงเป็น แมลง ก็ได้.” แล้วก็มีลูกคำอีก 5 คำ คือ “แมงคาเรือง แมงช้าง แมงดา แมงทับ แมงมุม”
         ส่วนคำว่า “แมลง” ท่านบอกว่า “แผลงมาจาก แมง” และได้ให้บทนิยามไว้ว่า “น. สัตว์ขนาดเล็ก ไม่มีกระดูกสันหลัง ส่วนมากมีลำตัวแบ่งออกเป็นตอน ๆ มีขา 6 ขาขึ้นไปอยู่ที่ตอนอก มีสองหรือสี่ปีกหรือไม่มีปีกก็ได้ มีหลายชนิด” ซึ่งก็มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “แมง” นั่นเอง ทำให้แยกไม่ออกว่า เมื่อใดควรจะใช้ “แมง” เมื่อใดควรจะใช้ “แมลง” และได้เคยมีผู้ทักท้วงว่าบทนิยามนี้ยังไม่ถูกต้อง คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง “แมงมุม” จึงกลายเป็น “แมลงมุม” หรือ “แมงป่อง” จึงกลายเป็น “แมลงป่อง” ดังในโคลงสี่สุภาพบทหนึ่ง มีอยู่บาทหนึ่งที่ว่า “พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง”
          ต่อมาในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 จึงได้ปรับปรุงแก้ไขใหม่ ดังนี้
  • แมง น. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ตัวขนาดเล็ก เมื่อเติบโตสมบูรณ์เต็มที่ ร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัว กับ ส่วนท้อง มีขา 8 ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก เช่น แมงมุม แมงป่อง, บางทีเรียกเพี้ยนเป็น แมลง.”
         ส่วนคำว่า “แมลง” ท่านให้บทนิยามไว้ดังนี้
  • น. สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ตัวขนาดเล็ก เมื่อเติบโตสมบูรณ์เต็มที่ ร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง มีขา 6 ขา มีหนวด 1 คู่ มีปีก 1 หรือ 2 คู่ หรืออาจไม่มีก็ได้ เช่น แมลงวัน แมลงสาบ แมลงปอ, บางทีเรียกเพี้ยนเป็น แมง.”
         ส่วนที่น่าสังเกตก็คือว่า “แมง” กับ “แมลง” นั้น ต่างก็เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ตัวขนาดเล็กเช่นกัน แต่ที่นับว่าแตกต่างกัน คือ
  • “แมง” ร่างกายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนหัว กับ ส่วนท้อง ส่วน “แมลง” ร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัว ส่วนอก และส่วนท้อง
  • “แมง” มี 8 ขา “แมลง” มี 6 ขา
  • “แมง” ไม่มีหนวด ส่วน “แมลง” มีหนวด 1 คู่
  • “แมง” ไม่มีปีก ส่วน “แมลง” อาจมีปีก 1-2 คู่ หรือไม่มีปีกก็ได้.
         หลายครั้งที่เราสับสนเรียกชื่อแมลงบางตัวเป็นแมง ทั้งที่ความจริงเป็นแมลง ลักษณะของแมลง (Insects) ต่างจากสัตว์จำพวก อราคนิต (Arachnids) ซึ่งบางตัวเรียกภาษาไทยว่า "แมง" (แมงมุม แมงป่อง) คือ

ภาพ:Durian_leaf_with_spider_3.jpg ภาพ:Scorpions_03.jpg

เปรียบเทียบแมง กับ แมลง

เปรียบเทียบแมง กับ แมลง
         คำในภาษาไทยที่เรามักใช้ปน ๆ กันอยู่ จนบางทีก็แทบจะแยกไม่ออกว่าต่างกันอย่างไร ก็คือคำว่า “แมง” กับ “แมลง” โดยเฉพาะภาษาพูดเรามักใช้แทนกันได้ เช่น “แมลงวัน” กับ “แมงวัน” “แมลงหวี่” กับ “แมงหวี่” “แมลงปอ” กับ “แมงปอ” ฯลฯ ซึ่งตามปรกติคำว่า “แมลง” เรามักพูดเป็น “แมง” ได้เสมอไป แต่คำว่า “แมง” ท่านไม่นิยมให้ใช้ “แมลง” แทน เช่น แมงดาทะเล ไม่ควรเรียกว่า “แมลงดาทะเล” หรือ “แมงคาเรือง” ก็ไม่ควรเรียกว่า “แมลงคาเรือง” ในเรื่องนี้ท่านมีหลักเกณฑ์อย่างไรนั้น เป็นเรื่องที่เราควรจะได้กำหนดไว้ให้ดี

แมง

แมง
ภาพ:แมง.jpg




















แมง (อังกฤษ: arachnid) เป็นชื่อเรียกสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในกลุ่มของสัตว์ขาปล้อง ชื่อในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากสตรีนามว่าอะแรกนีในเทพปกรณัมกรีก ร่างกายของแมงเมื่อโตเต็มที่แบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ หัวกับอกรวมกันเป็นส่วนหนึ่งและท้องอีกส่วนหนึ่ง การแยกแยะระหว่างแมงกับแมลง คือ แมงมี 8 หรือ 10 ขา ส่วนแมลงมี 6 ขา นอกจากนี้แมงยังไม่มีหนวดและปีกอีกด้วยซึ่งต่างจากแมลงที่มีหนวดและส่วนใหญ่มีปีก แมงมีความยาวของลำตัวตั้งแต่ 0.08 มิลลิเมตร ถึง 21 เซนติเมตร ตัวอย่างของสัตว์ประเภทแมง ได้แก่ แมงมุม แมงป่อง แมงดาทะเล เห็บ และไร เป็นต้น

แมลงอนุรักษ์

แมลงอนุรักษ์
ความสามารถในการปรับตัวได้ดี สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้ดีของสิ่งมีชีวิตในอันดับ Insecta หรือ Hexapoda ทำให้สิ่งมีชีวิตในกลุ่มของแมลงมีความหลากหลาย จำนวนชนิดมากกว่าในอันดับอื่นๆ และมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ความหลากหลายนั้นก็ทำให้แมลงบางชนิดสูญพันธุ์ หรือใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะหลายสาเหตุด้วยกัน จากความจำเพาะเจาะจงของพืชอาหารของแมลงชนิดนั้นลดน้อยหรือไม่มีในสภาพธรรมชาติ เนื่องจากความเสื่อมโทรมของป่าไม้ เช่น ผีเสื้อถุงทองที่มีพืชอาหารในระยะหนอนจากการกินกระเช้าสีดา อีกทั้งยังมีการลักลอบจับเป็นการค้า โดยเฉพาะแมลงที่มีความสวยงาม ได้แก่ กลุ่มผีเสื้อ และ กลุ่มด้วง

ชนิดแมลงอนุรักษ์ในประเทศไทย

  • แมลงที่มีการจับเพื่อการค้าสูง ซึ่งมีลักษณะสวยงาม ได้แก่ แมลงกลุ่มผีเสื้อ และแมลงกลุ่มด้วง ซึ่งผีเสื้อมีสีสรรสวยงาม ส่วนด้วงมีเขาสวยงาม
  • แมลงที่หายาก ซึ่งดูจากพิพิธภัณฑ์แมลง ของกรมวิชาการเกษตร ที่เคยพบเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ต่อมาปัจจุบันไม่พบอีกเลย หรือพบน้อยมาก อันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • บัญชีรายชื่อในอนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) หรืออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการค้าซึ่งพืชป่า และสัตว์ป่าที่กำลังใกล้สูญพันธุ์ ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญานี้ที่มีรายชื่อแมลงที่พบในประเทศไทยด้วย จำนวน 3 รายการ คือ ผีเสื้อถุงทอง ผีเสื้อไกเซอร์ และผีเสื้อภูฐาน ดังนั้นในการกำหนดชนิดแมลงอนุรักษ์จึงได้กำหนดแมลงทั้ง 3 รายการนี้เข้าไปด้วย

รายชื่อแมลงอนุรักษ์ในประเทศไทย

แมลงกลุ่มผีเสื้อ
ผีเสื้อถุงทอง แมลงอนุรักษ์ ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES
  • ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายหยัก Actias maenas Doubleday
  • ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายหยัก Actias sinensis heterogyna Mell
  • ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายตรง Actias rhodopneuma Rober
  • ผีเสื้อกลางคืนหางยาว Actias spp. ในประเทศไทยพบผีเสื้อกลางคืน (Moth) ชนิดนี้ 4 ชนิด ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายตรง Actias maenas Doubleday,ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายหยัก A. Rhodopneuma Rober,ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายตรง A. selene Hubner และผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายหยัก A. Senensis heterogyna Mell
  • ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายตรง Actias selene Hubner
  • ผีเสื้อภูฐานหรือผีเสื้อเชียงดาว Bhutanitis spp. กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยพบเฉพาะBhutanitis lidderdalei Atkinson
  • ผีเสื้อรักแร้ขาว Papilio protener euprotener Fruhstorfer
  • ผีเสื้อกลางคืนค้างคาว Lyssa zampa Butler
  • ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว Papilio palinurus Fabricius
  • ผีเสื้อไกเซอร์ Teinoppalpus spp. เป็นแมลงอนุรักษ์ ที่กำหนดไว้ในบัญชี หมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือ ผีเสื้อไกเซอร์ Teinoppalpus imperialisimperatrix de' Niceville
  • ผีเสื้อนางพญา Stichophthalma spp. เป็นผีเสื้อกลางวัน (Butterfly) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งในประเทศไทยพบ 3 ชนิด คือ
ผีเสื้อนางพญาพม่า Stichophthalma louisa Wood-Mason พบได้ที่ภาคเหนือของประเทศไทย ผีเสื้อนางพญาเขมร S. cambodia Hewitแมลงอนุรักษ์
ความสามารถในการปรับตัวได้ดี สามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้ดีของสิ่งมีชีวิตในอันดับ Insecta หรือ Hexapoda ทำให้สิ่งมีชีวิตในกลุ่มของแมลงมีความหลากหลาย จำนวนชนิดมากกว่าในอันดับอื่นๆ และมีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่ความหลากหลายนั้นก็ทำให้แมลงบางชนิดสูญพันธุ์ หรือใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะหลายสาเหตุด้วยกัน จากความจำเพาะเจาะจงของพืชอาหารของแมลงชนิดนั้นลดน้อยหรือไม่มีในสภาพธรรมชาติ เนื่องจากความเสื่อมโทรมของป่าไม้ เช่น ผีเสื้อถุงทองที่มีพืชอาหารในระยะหนอนจากการกินกระเช้าสีดา อีกทั้งยังมีการลักลอบจับเป็นการค้า โดยเฉพาะแมลงที่มีความสวยงาม ได้แก่ กลุ่มผีเสื้อ และ กลุ่มด้วง

ชนิดแมลงอนุรักษ์ในประเทศไทย

  • แมลงที่มีการจับเพื่อการค้าสูง ซึ่งมีลักษณะสวยงาม ได้แก่ แมลงกลุ่มผีเสื้อ และแมลงกลุ่มด้วง ซึ่งผีเสื้อมีสีสรรสวยงาม ส่วนด้วงมีเขาสวยงาม
  • แมลงที่หายาก ซึ่งดูจากพิพิธภัณฑ์แมลง ของกรมวิชาการเกษตร ที่เคยพบเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ต่อมาปัจจุบันไม่พบอีกเลย หรือพบน้อยมาก อันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
  • บัญชีรายชื่อในอนุสัญญา CITES (Convention on International Trade in Endangered Species of Wild Fauna and Flora) หรืออนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการค้าซึ่งพืชป่า และสัตว์ป่าที่กำลังใกล้สูญพันธุ์ ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญานี้ที่มีรายชื่อแมลงที่พบในประเทศไทยด้วย จำนวน 3 รายการ คือ ผีเสื้อถุงทอง ผีเสื้อไกเซอร์ และผีเสื้อภูฐาน ดังนั้นในการกำหนดชนิดแมลงอนุรักษ์จึงได้กำหนดแมลงทั้ง 3 รายการนี้เข้าไปด้วย

 รายชื่อแมลงอนุรักษ์ในประเทศไทย

แมลงกลุ่มผีเสื้อ
ผีเสื้อถุงทอง แมลงอนุรักษ์ ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES
  • ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายหยัก Actias maenas Doubleday
  • ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายหยัก Actias sinensis heterogyna Mell
  • ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายตรง Actias rhodopneuma Rober
  • ผีเสื้อกลางคืนหางยาว Actias spp. ในประเทศไทยพบผีเสื้อกลางคืน (Moth) ชนิดนี้ 4 ชนิด ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายตรง Actias maenas Doubleday,ผีเสื้อหางยาวตาเคียวปีกลายหยัก A. Rhodopneuma Rober,ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายตรง A. selene Hubner และผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายหยัก A. Senensis heterogyna Mell
  • ผีเสื้อหางยาวสี่ตาปีกลายตรง Actias selene Hubner
  • ผีเสื้อภูฐานหรือผีเสื้อเชียงดาว Bhutanitis spp. กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยพบเฉพาะBhutanitis lidderdalei Atkinson
  • ผีเสื้อรักแร้ขาว Papilio protener euprotener Fruhstorfer
  • ผีเสื้อกลางคืนค้างคาว Lyssa zampa Butler
  • ผีเสื้อหางติ่งสะพายเขียว Papilio palinurus Fabricius
  • ผีเสื้อไกเซอร์ Teinoppalpus spp. เป็นแมลงอนุรักษ์ ที่กำหนดไว้ในบัญชี หมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยมีชนิดเดียว คือ ผีเสื้อไกเซอร์ Teinoppalpus imperialisimperatrix de' Niceville
  • ผีเสื้อนางพญา Stichophthalma spp. เป็นผีเสื้อกลางวัน (Butterfly) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ซึ่งในประเทศไทยพบ 3 ชนิด คือ
ผีเสื้อนางพญาพม่า Stichophthalma louisa Wood-Mason พบได้ที่ภาคเหนือของประเทศไทย ผีเสื้อนางพญาเขมร S. cambodia Hewitson พบได้ที่ภาคตะวันออกของประเทศ และผีเสื้อนางพญากอดเฟรย์ S. Godfreyi Rothschild พบได้ที่ภาคใต้ของประเทศไทย
  • ผีเสื้อถุงทอง Trodes spp. เป็นแมลงอนุรักษ์ ที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยที่พบแล้วมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ผีเสื้อถุงทองป่าสูง Trodes helena Linnaeus, ผีเสื้อถุงทองปักษ์ใต้ T. amphrysus Cramer
ผีเสื้อถุงทองธรรมดา T. aeacus Felder
  • ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ Meandrusa sciron Leech
แมลงกลุ่มด้วง
  • ด้วงกว่างดาว Cheirotonus parryi Gray, วงศ์ Scarabaeidae เป็นด้วงขนาดใหญ่ ตัวผู้มีขาหน้ายาวสวยงาม ตัวเมียขาหน้าสั้น ด้วงชนิดนี้พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออก
  • ด้วงคีมยีราฟ Chadagnathus giraffa Fabricus, วงศ์ Lucanidae พบที่ภาคเหนือและภาคตะวันออก ด้วงคีมหรือด้วงเขี้ยวกางในประเทศไทยมีหลายชนิดและมีรูปร่างแปลกสวยงามจึงมี การล่าจับกันมาก
  • ด้วงดินขอบทองแดง Mouhotia batesi Lewis , วงศ์ Carabidae ด้วงดินที่มีขนาดใหญ่ ตัวสีดำ แต่ขอบบริเวณส่วนอกมีเหลือบเป็นสีทองแดง พบที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ด้วงดินปีกแผ่น Mormolyce phyllodes Hegenb, วงศ์ Carabidae ด้วงดินที่มีปีกหน้าแบนบางเป็นแผ่นทำให้ดูสวยและแปลก เป็นแมลงที่หายาก พบเฉพาะภาคใต้
son พบได้ที่ภาคตะวันออกของประเทศ และผีเสื้อนางพญากอดเฟรย์ S. Godfreyi Rothschild พบได้ที่ภาคใต้ของประเทศไทย
  • ผีเสื้อถุงทอง Trodes spp. เป็นแมลงอนุรักษ์ ที่กำหนดไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญา CITES ในประเทศไทยที่พบแล้วมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ผีเสื้อถุงทองป่าสูง Trodes helena Linnaeus, ผีเสื้อถุงทองปักษ์ใต้ T. amphrysus Cramer
ผีเสื้อถุงทองธรรมดา T. aeacus Felder
  • ผีเสื้อหางดาบตาลไหม้ Meandrusa sciron Leech
แมลงกลุ่มด้วง
  • ด้วงกว่างดาว Cheirotonus parryi Gray, วงศ์ Scarabaeidae เป็นด้วงขนาดใหญ่ ตัวผู้มีขาหน้ายาวสวยงาม ตัวเมียขาหน้าสั้น ด้วงชนิดนี้พบทางภาคเหนือและภาคตะวันออก
  • ด้วงคีมยีราฟ Chadagnathus giraffa Fabricus, วงศ์ Lucanidae พบที่ภาคเหนือและภาคตะวันออก ด้วงคีมหรือด้วงเขี้ยวกางในประเทศไทยมีหลายชนิดและมีรูปร่างแปลกสวยงามจึงมี การล่าจับกันมาก
  • ด้วงดินขอบทองแดง Mouhotia batesi Lewis , วงศ์ Carabidae ด้วงดินที่มีขนาดใหญ่ ตัวสีดำ แต่ขอบบริเวณส่วนอกมีเหลือบเป็นสีทองแดง พบที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • ด้วงดินปีกแผ่น Mormolyce phyllodes Hegenb, วงศ์ Carabidae ด้วงดินที่มีปีกหน้าแบนบางเป็นแผ่นทำให้ดูสวยและแปลก เป็นแมลงที่หายาก พบเฉพาะภาคใต้

พฤติกรรม

พฤติกรรม
แมลงชอบเข้าหาแสงสว่างในฤดูร้อน
แมลงหลายชนิดมีอวัยวะรับรู้สัมผัสที่ดีมาก บางครั้งอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าประสาทสัมผัสของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ผึ้งสามารถเห็นแสงสีในสเปกตรัมของรังสีอุลตร้าไวโอเล็ต และผีเสื้อกลางคืนตัวผู้มีระบบประสาทรับกลิ่นที่สามารถรับกลิ่นของฟีโรโมนจากตัวเมียได้เป็นระยะทางหลายกิโลเมตร
แมลงสังคมอย่างมดและผึ้ง เป็นตัวอย่างที่พบเห็นได้ง่ายที่สุดของสัตว์สังคม พวกมันอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นอาณาจักรขนาดใหญ่โดยแบ่งหน้าที่การงานกันอย่างเป็นระบบและเรียบร้อย บางครั้งอาณาจักรเช่นนี้อาจเรียกได้ว่าเป็น superorganism ในภาษาไทยอาจเรียกได้ว่าแมลงวรรณะ

การจัดอันดับของแมลง

การจัดอันดับของแมลง
แมลงหางดีด จัดอยู่ในอันดับ Collembola
ตั๊กแตน จัดอยู่ในอันดับ Orthoptera
แมลงปอ จัดอยู่ในอันดับ Odonata
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้จัดอันดับแบ่งแมลงให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อง่ายต่อการค้นหาและทำการศึกษาวิจัย โดยอาศัยลักษณะและโครงสร้างของสรีระร่างกายของแมลงเป็นหลักเช่น แมลงชนิดใดก็ตามที่มีลักษณะโครงสร้างของร่างกายบางอย่างเหมือนกัน ก็จัดไว้ในหมวดหมู่เดียวกัน ถ้ามีความแตกต่างกันก็จัดไว้ในอีกหมวดหมู่ การจัดอันดับหมวดหมู่ของแมลงโดยอาศัยโครงสร้างของแมลงเป็นหลักนั้น สามารถชี้ให้เห็นแมลงในแต่ละหมวดหมู่นั้น มีความสัมพันธ์ มีวิวัฒนาการสืบต่อกันมาแต่โบราณอย่างไร เนื่องจากแมลงหลายชนิดมีวิวัฒนาการที่เร็วและช้าสลับกันไป วิวัฒนาการที่แตกต่างกันนี้อาจทำให้วิวัฒนาการของแมลงบางหมวดหมู่สูงกว่าอีกหมวดหมู่หนึ่ง
การจัดอันดับหมวดหมู่ของแมลงในชั้น Insecta หรือ Hexapoda สามารถแบ่งออกเป็นชั้นย่อย ๆ ลดหลั่นตามลำดับ ซึ่งการแบ่งชั้นของแมลงออกเป็นอันดับต่าง ๆ มักนิยมใช้ลักษณะเฉพาะของโครงสร้างของปีก ปากและลักษณะเฉพาะพิเศษอื่น ๆ บางอย่างของแมลงเป็นตัวตัดสินใจ แมลงบางชนิดอาจแบ่งอันดับได้มาก 25-35 อันดับด้วยกัน แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การแบ่งอันดับต่าง ๆ ที่เป็นที่รู้จักและแพร่หลาย สามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ มีประมาณ 28 อันดับด้วยกัน ดังนี้
  • Class Insecta จำแนกอันดับต่าง ๆ ได้ดังนี้
Subclass Apterygota จัดเป็นแมลงที่ไม่มีปีกและไม่มี metamorphosis ลอกคราบได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งหลังเป็นตัวเต็มวัย สืบพันธุ์โดยไม่มีการสัมผัสกันของเพศ การถ่ายน้ำเชื้อจากเพศผู้สู่เพศเมียเป็นแบบทางอ้อม
Order Collembola
- แมลงหางดีด
Order Diplure
- ตัวสองง่าม
Order Thysanure
- ตัวสามง่าม
Order Archeognatha
- ตัวสามง่ามป่า
Subclass Pteryota จัดเป็นแมลงที่อกปล้องกลาง อกปล้องหลังปล้องละคู่ แต่ในปีกของแมลงบางชนิดอาจจะมีการลดรูปลงได้จนกลายเป็นไม่มีปีก มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างระหว่างการเจริญเติบโต ไม่มีการลอกคราบเมื่อเป็นตัวเต็มวัย การถ่ายน้ำเชื้อจากเพศผู้สู่เพศเมียโดยทางตรง แบ่งออกเป็น 2 Infraclass ดังนี้
Infraclass Palaeoptera แมลงในกลุ่มนี้ไม่สามารถที่จะหุบพับปีกไปทางด้านหลังแนบกับลำตัวได้ ลักษณะของปีกจะกางอยู่ตลอดเวลา ในระยะตัวอ่อนจะอาศัยอยู่ในน้ำ มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างจากตัวอ่อนจนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย
Order Ephemeroptera
- ตัวชีปะขาว
Order Odonata
- แมลงปอ, แมลงปอเข็ม
Infraclass Neoptera แมลงในกลุ่มนี้เป็นแมลงในกลุ่มส่วนที่เหลือทั้งหมด สามารถหุบพับปีกพักบนลำตัวได้

ลักษณะทั่วไป

ลักษณะทั่วไป
ลักษณะทั่วไปของแมลงที่ประกอบด้วยส่วนหัว, ส่วนอก, ส่วนท้อง
ลักษณะทั่วไปของแมลงคือมีลำตัวยาวหรือค่อนข้างยาว ลำตัวทั้งสองด้านซ้ายขวามีลักษณะเหมือนกันและเท่ากัน ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายใหญ่หรือเล็กกว่า แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนหัว (head) , ส่วนอก (thorax) และส่วนท้อง (abdomen) โดยลักษณะของอวัยวะส่วนหัวประกอบไปด้วยตา หนวดและปาก กะโหลกศีรษะมีรอยต่อหรือเส้น ใช้สำหรับแบ่งเป็นพื้นที่ต่าง ๆ ได้แก่
หัว ประกอบไปด้วนส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้
  • ส่วนหัว ประกอบไปด้วยสันกะโหลก (อังกฤษ: Vertex) คือบริเวณพื้นที่ตั้งแต่ส่วนหัวของแมลง นับตั้งแต่พื้นที่ส่วนที่อยู่ระหว่างตาทั้งสองข้างไปจนถึงด้านหลังของตา
  • ส่วนหน้า (อังกฤษ: Frons) คือบริเวณพื้นที่ที่อยู่ทางด้านหน้าของกะโหลกศีรษะของแมลง อยู่ระหว่างเส้นรูปตัว Y ที่มีลักษณะเป็นตัว Y กลับหัว ในบริเวณพื้นที่ส่วนนี้เรียกว่า "เส้นทับกะโหลกศีรษะ"
  • ส่วนริมฝีปากบน (อังกฤษ: Clypeus) คือบริเวณพื้นที่ระหว่างส่วนหน้ากับริมฝีปากส่วนบน ในส่วนนี้จะมีเส้น frontoclypeal suture เป็นตัวแบ่งออกจากส่วนหน้า
  • ส่วนแก้ม (อังกฤษ: Gena) คือพื้นที่ทางด้านข้างของกะโหลกใต้ตารวม
  • ส่วนฐานกะโหลก (อังกฤษ: Occiput) คือบริเวณพื้นที่ทางด้านหลังของกะโหลกศีรษะของแมลง ซึ่งพื้นที่ตรงจุดนี้จะแยกออกจากสันกะโหลกและแก้มอย่างชัดเจน ในส่วนนี้จะมีเส้น occipital suture เป็นเส้นแบ่ง
  • ส่วนฐานกะโหลกทางส่วนหลัง (อังกฤษ: Post Occiput) คือบริเวณพื้นที่ส่วนที่เชื่อมติดกับลำคอ และแยกออกมาจากฐานกะโหลก โดยมีเส้น post occipital suture เป็นเส้นแบ่ง
ตา ตาของแมลงมีอยู่ 2 ชนิดคือตาแบบรวมและตาเดี่ยว ตาแบบรวมของแมลงจะมี 2 ตา แต่ตาเดี่ยวจะมีจำนวนตาที่แตกต่างกันออกไปตามแมลงแต่ละชนิด และมักจะปรากฏอยู่ในแมลงทั้งในช่วงระยะฝักตัวเป็นตัวหนอน เป็นตัวอ่อนและตัวเต็มวัย แมลงแต่ละชนิดจะมีตาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะมีตาเดี่ยว 3 ตาเรียงติดต่อกันเป็นรูปสามเหลี่ยมเหนือศีรษะ อยู่ระหว่างตารวมทั้งสองข้าง แต่ในแมลงบางชนิดก็อาจจะไม่พบว่ามีตาเดี่ยวรวมอยู่ด้วย
หนวด หนวดของแมลงจะมีอยู่ 2 เส้น ใช้สำหรับสัมผัสและดมกลิ่ม ส่วนมากหนวดของแมลงมักจะอยู่ระหว่างตารวมหรืออยู่ต่ำกว่าตารวมเพียงเล็กน้อย สามารถเคลื่อนไหวไปมาได้อย่างอิสระ เพราะหนวดทั้ง 2 เส้นจะติดอยู่กับศีรษะของแมลงตรงช่องหนวด โดยมีแผ่นเนื้อเยื่อบาง ๆ เป็นตัวเชื่อมติดกันเอาไว้
ปาก ปากของแมลงมีหลายรูปแบบตามแต่ชนิดของแมลง แต่ปากแบบพื้นฐานคือปากแบบกัดกินเช่น ปากของตั๊กแตน ลักษณะปากแบบกัดกินจะมีริมฝีปากบนปิดส่วนประกอบอื่น ๆ ของปากเอาไว้ มีกรามเป็นอวัยวะที่มีลักษณะแข็งแรงสำหรับบดเคี้ยวอาหาร มีเส้นที่คล้ายกับหนวดยื่นออกมาจากปากข้างละ 2 เส้น คู่แรกคือ maxillary palps ซึ่งจะยึดติดแน่นอยู่กับฟัน และคู่ที่สองคือ labial palps ซึ่งจะยึดติดแน่นอยู่ที่ริมฝีปากล่าง และมีส่วนที่เหนือริมฝีปากบนขึ้นไป ซึ่งจะมีแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่เรียกว่า clypeus สำหรับเป็นฐานยึดติดริมฝีปากส่วนบนเอาไว้
คอ คอของแมลงจะเป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างหัวกับอก มีลักษณะอ่อนไม่แข็งเหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ ของร่างกาย ประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อแบบบาง ๆ และกล้ามเนื้อ ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนหัวและส่วนอกของแมลง
อก อกของแมลงจะอยู่ระหว่างส่วนหัวและส่วนท้อง สามารถมองเห็นได้จากขาและปีกของแมลง เนื่องจากอกเป็นตำแหน่งที่ตั้งของอวัยวะที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของขาและปีก ประกอบไปด้วยปล้องจำนวน 3 ปล้องคืออกปล้องแรก, อกปล้องกลางและอกปล้องหลัง โดยปกติแล้วอกของแมลงส่วนใหญ่ในแต่ละปล้องจะมีขา 1 คู่ ตามธรรมชาติแล้วแมลงบางชนิดจะไม่มีขา เพราะขานั้นได้เสื่อมหายไป ตามปกติแล้วขาที่ยึดติดกับอกปล้องแรกคือขาคู่หน้า ส่วนขาที่ติดกับอกปล้องกลางคือขาคู่กลาง และขาที่ติดกับอกปล้องหลังคือขาคู่หลัง ในแมลงที่เจริญเติบโตเต็มที่ ส่วนใหญ่จะมีปีกติดอยู่ที่บริเวณอกปล้องกลางกับอกปล้องหลังอย่างละคู่ ปีกในส่วนอกปล้องแรกของแมลงทุกชนิดจะเรียกว่าปีกคู่หน้า และเรียกปีกของอกปล้องหลังว่าปีกคู่หลัง
ท้อง ท้องของแมลงตามปกติแล้วจะมีทั้งหมด 11 ปล้อง แต่ปล้องที่ 11 จะมีลักษณะที่เล็กมากจนมองเห็นได้ยากหรือมองแทบไม่เห็น ทำให้มองเห็นท้องของแมลงเพียงแค่ 10 ปล้องหรือไม่เกิน 10 ปล้องเท่านั้น แต่ก็ยังมีแมลงบางชนิดที่มีจำนวนปล้องท้องน้อยกว่านี้ แมลงส่วนใหญ่เมื่อเจริญเติบโตกลายเป็นตัวโตเต็มวัย จะไม่มีส่วนขาที่บริเวณท้อง ยกเว้นแต่ในตัวอ่อนของแมลงบางชนิดเช่น หนอนผีเสื้อขาเทียม ที่มีปล้องท้องลักษณะเป็นปล้องคู่ จำนวนปล้องท้องจะแตกต่างกันออกจากตามแต่ประเภทของตัวหนอน ปลายสุดของหางจะมีแพนหาง 1 คู่ ลักษณะคล้ายด้ายเส้นยาวหรือเป็นแผ่นบาง ๆ ใส ๆ พบได้ในตัวเต็มวัย ในเพศเมียจะมีอวัยวะสำหรับวางไข่ที่บริเวณปลายสุดของท้อง ลักษณะเป็นแผ่นหรือแท่งยาวปลายแหลม สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีรูหายใจอยู่ที่ทางด้านข้างท้องของแมลง

วิวัฒนาการ

วิวัฒนาการ
ในสมัยยุคดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน แมลงจัดเป็นสัตว์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในการวิวัฒนาการเพื่อการดำรงชีวิต ในขณะที่สัตว์ชนิดอื่น ๆ จำนวนมากต้องสูญพันธ์ไปเรื่อย ๆ จนหมดไปจากโลก ตรงกันข้ามกับแมลงที่มีการดำรงชีวิตและการแพร่พันธุ์กระจายไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วทุกแห่ง ซึ่งอาศัยลักษณะพิเศษหลายอย่างของแมลงเช่นโครงสร้างทางกายวิภาคศาสตร์ที่มีขนาดเล็ก ไม่ต้องการอาหารจำนวนมาก สามารถหลบภัยและอาศัยในถิ่นที่อยู่ได้ทุกประเภท มีปีกที่ช่วยให้บินได้ไกล ช่วยทำให้แมลงบินอพยพหลบหนีภัยได้ง่าย หาแหล่งอาหารได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังสามารถหาแหล่งที่อยู่อาศัยและผสมพันธุ์ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
ลักษณะทางภูมิศาสตร์เช่นทะเล ภูเขาหรือทะเลทราย ไม่เป็นอุปสรรคต่อแมลงเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น เนื่องจากแมลงสามารถปรับสภาพการดำรงชีวิตให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีวิวัฒนาการดัดแปลงให้อวัยวะบางส่วนในร่างกายทำงานได้อย่างเหมาะสมเช่น ขาคู่ด้านหน้าของตั๊กแตนตำข้าวที่วิวัฒนาการดัดแปลงให้สามารถใช้จับเหยื่อได้เป็นอย่างดี

แมลง


แมลง (อังกฤษInsect) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โทรโพดา จำแนกออกเป็นไฟลัมต่าง ๆ ได้ 13 กลุ่ม มีลักษณะสำคัญคือมีลำตัวเป็นปล้อง ซึ่งอาจแบ่งเป็น 2 หรือ 3 ส่วน สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ลำตัวทั้งสองด้านซ้ายขวามีความเหมือนและมีขนาดเท่ากัน มีเปลือกห่อหุ้มลำตัวด้วยสารไคติน (อังกฤษChitinous Exoskeleton) ไม่มีขน หายใจแบบใช้เหงือกหรือใช้รูหายใจ มีวัฎจักรวงจรชีวิตในการเจริญเติบโตแบบไข่ มีการลอกคราบเป็นบางครั้งแล้วสร้างผนังหรือเปลือกห่อหุ้มลำตัวใหม่ มีรยางค์เป็นคู่และเป็นปล้อง ส่วนใหญ่นักกีฏวิทยามักใช้รยางค์ในการแบ่งเพศผู้เพศเมียของแมลง
มีอวัยวะภายในที่มีท่อทางเดินอาหารเป็นท่อยาวตลอดจากปากไปถึงทวารหนัก ระบบเลือดเป็นแบบเปิดและมีท่อเลือดอยู่ทางด้านสันหลังเหนือระบบทางเดินอาหาร มีระบบประสาทที่ประกอบไปด้วยสมองอยู่เหนือท่ออาหาร มีเส้นประสาทขนาดใหญ่หนึ่งคู่เชื่อมต่อจากสมอง มีการรวมตัวเป็นระยะก่อเกิดเป็นปมประสาท เส้นประสาทขนาดใหญ่ของแมลง จะอยู่ทางด้านล่างของลำตัวใต้ท่ออาหาร มีกล้ามเนื้อแบบเรียบอยู่ตามลำตัว
มีการหายใจแบบใช้ท่ออากาศ ซึ่งจะติดต่อผ่านเข้าออกข้างลำตัวทางรูหายใจ มีอก 2 คู่ มีท้อง 8 คู่ โดยมีปล้องละ 1 คู่ ขับถ่ายของเสียจากร่างกายทางท่อขับถ่าย มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปร่างเพื่อการเจริญเติบโตจากตัวอ่อนที่ฟักจากไข่จนกลายเป็นตัวโตเต็มวัย